โยนิโสมนสิการ




โดย  ยส  พฤกษเวช

โยนิโสมนสิการ หลักคิดแพทย์แผนไทย


          การแพทย์แผนไทยเป็นแพทย์องค์รวม  ที่ครั้งหนึ่งเป็นแพทย์กระแสหลักของชนเผ่าไทย แต่ปัจจุบันเป็นแพทย์ทางเลือกในสังคมไทย  แพทย์แผนไทยมีประวัติมายาวนาน  โดยได้รับองค์ความรู้มาจากการแพทย์อายุรเวทของอินเดีย  มาประยุกต์เข้ากับหลักปรัชญาทางพุทธศาสนาและผสมผสานความรู้การแพทย์ท้องถิ่น  หล่อหลอมออกมาเป็นการแพทย์แผนไทยที่รับใช้สังคมไทยมาถึงปัจจุบัน


 
           ศาสตร์การแพทย์แผนไทยเป็นศาสตร์ชั้นสูง  จะเป็นรองก็เพียงพุทธศาสตร์  เป็นศาสตร์ที่ยากต่อการเรียนรู้ ทำความเข้าใจ และการนำมาประยุกต์ใช้  จะเห็นได้ว่าในสมัยโบราณคนที่จะเรียนแพทย์ได้ต้องผ่านการทดสอบจากครูผู้ถ่ายทอด  ว่าเป็นคนที่เหมาะสมหรือไม่  ทั้งในด้านความอดทน ความเฉลียวฉลาด  ตลอดจนพิจารณาว่าเป็นคนดีมีศีลธรรมหรือไม่   ดังนั้น คนที่จะได้เรียนวิชาแพทย์ต้องนับว่าเป็นคนที่มีวาสนาที่ดีจริง ๆ  ใช่ว่าใครที่นึกอยากเรียนก็เรียนได้



         ในปัจจุบันได้มีการเปิดสอนอบรมวิชาแพทย์แผนไทยกันอย่างกว้างขวาง  แม้แต่ในมหาวิทยาลัยก็มีหลักสูตรแพทย์แผนไทย  ระดับปริญญาตรี ปริญญาโท  เปิดโอกาสให้ผู้สนใจได้ศึกษาหาความรู้อย่างเต็มที่  ในแต่ละปีมีผู้ที่เรียนจบและสอบได้ใบประกอบโรคศิลป์ปีละหลายร้อยคน  แต่ก็มีผู้ถอดใจยกเลิกการเรียนในระหว่างเรียน  ขณะเดียวกันผู้ที่สอบได้ใบประกอบโรคศิลป์ก็มีน้อยรายที่จะนำความรู้ที่เรียนมามาประกอบอาชีพเป็นหมอรับใช้สังคม  ได้สอบถามผู้ที่ถอดใจยกเลิกการเรียนและผู้ที่สอบได้ใบประกอบโรคศิลป์แต่ไม่กล้าประกอบอาชีพเป็นหมอรับใช้สังคม  ได้รับคำตอบในทำนองเดียวกันว่า เรียนไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ แต่ที่สอบได้ใบประกอบโรคศิลป์เพราะท่องจำ จดจำเข้าไปสอบ


         วิชาแพทย์แผนไทย ไม่ง่ายที่จะศึกษาทำความเข้าใจ   แต่ก็ไม่ยากจนเกินความพยายาม  และผู้เรียนไม่จำเป็นต้องมีความเฉลียวฉลาดเหนือคนธรรมดา  แต่คนที่จะเรียนวิชาแพทย์แผนไทยให้ประสบความสำเร็จได้ต้องมีหลักคิดที่สำคัญอันหนึ่ง  เพื่อใช้เป็นหลักพิจารณาศึกษาเล่าเรียน  ตลอดจนนำไปใช้ประกอบอาชีพเป็นหมอรับใช้สังคม  หลักคิดที่ว่านี้ก็คือ หลักของโยนิโสมนสิการ




         โยนิโสมนสิการ เป็นหลักคิดตามแนวปรัชญาตะวันออก แนวเดียวกับหลักคิดทางพระพุทธศาสนา  เจ้าชายสิทธัตถะ ก็ทรงใช้หลักคิดนี้พิจารณาข้อธรรมจนบรรลุเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เป็นศาสดาผู้ยิ่งใหญ่จนถึงทุกวันนี้   โยนิโสมนสิการ เป็นการใช้ความคิด ให้รู้จักคิดอย่างถูกวิธี  คิดอย่างมีระเบียบ  รู้จักคิดวิเคราะห์ไม่มองเห็นสิ่งต่าง ๆ อย่างตื้นผิวเผิน  เป็นขั้นสำคัญในการสร้างปัญญาที่บริสุทธิ์เป็นอิสระ  ทำให้ทุกคนช่วยตนเองได้และนำไปสู่จุดมุ่งหมาย   ผู้ที่ได้วิเคราะห์และเสนอแนวคิดแบบโยนิโสมนสิการอย่างละเอียด คือ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโต) ดังนั้น จึงจะขอนำข้อคิดเห็นของท่านมาเสนอไว้ในที่นี้



         โยนิโสมนสิการ  ประกอบด้วยโยนิโส กับ มนสิการ   โยนิโส มาจาก โยนิ แปลว่า เหตุ ต้นเค้า แหล่งเกิด ปัญญาอุบาย วิธี ทาง    ส่วนมนสิการ แปลว่า การทำในใจ การคิด คำนึง นึกถึง ใส่ใจ พิจารณา เมื่อรวมเข้าเป็นโยนิโสมนสิการ   ท่านแปลสืบทอดกันมาว่า  การทำในใจโดยแยบคาย กล่าวอีกนัยหนึ่ง การทำในใจโดยแยบคายก็คือ  การคิดเป็น คือ  คิดถูกต้องตามความเป็นจริง  อาศัยการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ   และคิดเชื่อมโยงตีความข้อมูลเพื่อนำไปใช้ต่อไป




การทำในใจโดยแยบคายนี้ความหมายอาจแยกเป็นลักษณะต่าง ๆ ได้ดังต่อไปนี้


๑. อุบาย มนสิการ 

แปลว่า คิดพิจารณาโดยอุบาย  คือ  คิดอย่างมีวิธีหรือคิดถูกวิธี หมายถึง ถูกวิธีที่จะเข้าถึงความจริง สอดคล้องเข้าแนวสัจจะ  ทำให้หยั่งรู้สภาวะลักษณะและสามัญลักษณะของสิ่งทั้งหลาย






๒. ปถมสิการ  

แปลว่า คิดเป็นทาง หรือคิดถูกทาง คือ คิดได้ต่อเนื่องเป็นลำดับ  จัดลำดับได้หรือมีลำดับมีขั้นตอนแล่นไปเป็นแถว เป็นแนว หมายถึง  ความคิดเป็นระเบียบตามแนวเหตุผล เป็นต้น ไม่ยุ่งเหยิงสับสน  ไม่ใช่วกเวียนติดพันประเดี๋ยวเรื่องนี้ที่นี่  เดี๋ยวเตลิดออกไปเรื่องนั้นที่โน้น  หรือกระโดดไปกระโดดมา  ต่อเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้  ทั้งนี้รวมทั้งความสามารถที่จะชักความนึกคิดเข้าสู่แนวทางที่ถูกต้อง

๓. การณมนสิการ

แปลว่า  คิดตามเหตุ คิดค้นเหตุ คิดหาผล หรือคิดอย่างมีเหตุผล  หมายถึง การคิดสืบค้นตามแนวความสัมพันธ์ของเหตุปัจจัยที่สืบทอดกัน  พิจารณาสืบสาวหาสาเหตุให้เข้าใจถึงต้นเค้า หรือแหล่งที่มาซึ่งส่งผลต่อเนื่องมาตามลำดับ

๔. อุป ปาทกมนสิการ 

แปลว่า  คิดให้เกิดผล คือ  ใช้ความคิดให้เกิดผลที่พึงประสงค์เล็งถึงการคิดอย่างมีเป้าหมาย   ท่านหมายถึง  การคิดพิจารณาที่ทำให้เกิดกุศลธรรม  เช่น  ปลุกเร้าให้เกิดความเพียรการรู้จักคิดที่จะทำให้หายหวาดกลัว  ให้หายโกรธ   การพิจารณาที่ทำให้มีสติ หรือทำให้จิตใจเข้มแข็งมั่นคง เป็นต้น

ลักษณะต่าง ๆ ของความคิดที่กล่าวมาข้างต้นนั้นพอสรุปได้ว่า คิดถูกวิธี คิดมีระเบียบ คิดมีเหตุผล และคิดเป็นกุศล


          พระธรรมปิฏกยังกล่าวต่อไปว่า  ถ้ามองในแง่ของขอบเขต โยนิโสมนสิการ กินความกว้าง ครอบคลุมตั้งแต่ความคิดในแนวทางของศีลธรรม  การคิดตามหลักความดีงามและหลักความจริงต่าง ๆ ที่ตนได้ศึกษาหรือรับการอบรมสั่งสอนมา  มีความรู้ความเข้าใจดีอยู่แล้ว  เช่น  คิดในทางที่จะเป็นมิตร คิดรัก คิดปรารถนาดี  มีเมตตา  คิดที่จะให้หรือช่วยเหลือเกื้อกูล  คิดในทางที่จะเข้มแข็ง  ทำการจริงจังไม่ย่อท้อ เป็นต้น   ซึ่งไม่ต้องใช้ปัญญาลึกซึ้งอะไร  ตลอดขึ้นไปจนถึงการคิดแยกแยะองค์ประกอบและสืบสาวหาสาเหตุปัจจัยที่ต้องใช้ ปัญญาละเอียดประณีต   เนื่องด้วยโยนิโสมนสิการมีขอบเขตกว้างขวางอย่างนี้ ปกติชนทุกคนสามารถใช้โยนิโสมนสิการได้

          ถ้ามองในแง่หน้าที่ โยนิโสมนสิการก็คือ ความคิดที่สกัดอวิชชาตัณหา หรือการคิดเพื่อสกัดตัดหน้าอวิชชาและตัณหา


ลักษณะของความคิดตามอวิชชาตัณหา เป็นดังต่อไปนี้


๑. เมื่อ อวิชชาเป็นตัวเด่น

ความคิดมีลักษณะติดตัน วกวนอยู่ที่แง่หนึ่งตอนหนึ่งอย่างพร่ามัว  ขาดความสัมพันธ์ไม่รู้ทางไป หรือไม่ก็ฟุ้งซ่านสับสนไม่เป็นระเบียบ ปรุงแต่งอย่างไร้เหตุผล เช่น ภาพในความคิดของคนหวาดกลัว

๒. เมื่อ ตัณหาเป็นตัวเด่น

ความคิดมีลักษณะโน้มเอียงไปตามความยินดียินร้าย  ความชอบใจไม่ชอบใจ หรือความติดใจขัดใจ ติดพัน  ครุ่นอยู่กับสิ่งหรือเรื่องที่ชอบหรือชังนั้น  และปรุงแต่งความคิดไปตามความชอบความชังของตน

อย่างไรก็ตาม  เมื่อพูดลึกลงไปอีกในด้านสภาวะอวิชชาเป็นฐานก่อตัวของตัณหาและตัณหาเป็นตัวเสริมกำลังให้แก่อวิชชา ดังนั้น ถ้าจะกำจัดความชั่วร้ายให้สิ้นเชิงก็จะต้องกำจัดให้ถึงอวิชชา







วิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการ

          ในทัศนะของพระธรรมปิฎก อธิบายได้ว่า วิธีโยนิโสมนสิการพอประมวลเป็นแบบใหญ่ได้  ๑๐ วิธีดังต่อไปนี้

๑ วิธีคิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัย

วิธีนี้เป็นวิธีคิดตามหลักปฏิจจสมุปบาทเป็นแบบพื้นฐาน  โดยพิจารณาปัญหา หาหนทางแก้ไขด้วยการค้นหาสาเหตุและปัจจัยต่าง ๆ  ที่สัมพันธ์ส่งผลสืบทอดกันมา  แนวปฏิบัติของวิธีนี้มีอยู่ ๒ แนว คือ


ก. คิดแบบปัจจัยสัมพันธ์ 

โดยถือหลักว่า สิ่งทั้งหลายย่อมต้องอาศัยซึ่งกันและกันจึงเกิดขึ้นพร้อมกัน เช่น   “เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ”


ข. คิดแบบสอบสวนหรือตั้งคำถาม

เช่น  อุปาทานมีเพราะอะไรเป็นปัจจัยฯ   เมื่อคิดแบบโยนิโสมนสิการจึงรู้ได้ด้วยปัญญาว่า อุปาทานมีเพราะตัณหาเป็นปัจจัย  ตัณหามีเพราะอะไรเป็นปัจจัย  เมื่อคิดแบบโยนิโสมนสิการจึงรู้ด้วยปัญญาว่า ตัณหามีเพราะเวทนาเป็นปัจจัย





๒. วิธีคิดแบบแยกแยะส่วนประกอบหรือกระจายเนื้อหา 

เป็นการคิดที่มุ่งให้มองและรู้จักสิ่งทั้งหลายตามสภาวะของมันเอง  เป็นวิภัชชวิธี หรือวิธีคิดแบบวิเคราะห์เป็นการคิดพิจารณาที่แยกแยะโดยถือเอานามรูปเป็นหลัก  คือ ไม่มองสัตว์บุคคลตามสมมุติบัญญัติ ว่าเป็นเขาเป็นเรา  เป็นนายนั่นนายนี่   แต่มองตามสภาวะแยกออกไปว่าเป็นนามธรรมและรูปธรรม  กำหนดส่วนประกอบทั้งหลายที่รวมกันอยู่แต่ละอย่างว่า  อย่างนั้นเป็นรูป  อย่างนี้เป็นนาม  เมื่อแยกแยะออกไปแล้วก็มีแต่นามกับรูป หรือนามธรรมกับรูปธรรม  ในเวลาที่พบเห็นสัตว์ และสิ่งต่าง ๆ ก็จะมองว่าเป็นเพียงกองแห่งนามธรรมและรูปธรรม  เป็นกระแสความคิดที่คอยช่วยต้านทานไม่ให้หลงใหลติดยึดสมมุติบัญญัติมากเกินไป ให้มองเห็นเป็นเพียงสภาวะว่างเปล่าจากความเป็นสัตว์เป็นคน  พระธรรมปิฎกยกตัวอย่างการใช้ความคิดแนวนั้น ดังต่อไปนี้


“ท่าน ผู้มีอายุทั้งหลาย ช่องว่างอาศัยเครื่องไม้ เถารัด ดินฉาบ และหญ้ามุงล้อมเข้าย่อมถึงความนับว่าเรือนฉันใด ช่องว่างอาศัยกระดูก เอ็น เนื้อ และหนังแวดล้อมแล้วย่อมถึงความนับว่ารูปฉันนั้น …เวทนา….สัญญา ….สังขาร…วิญญาณ…การคุมเข้าการประชุมกัน การประมวลเข้าด้วยกันแห่งอุปทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ เป็นอย่างนี้”



๓. วิธีคิดแบบสามัญลักษณ์ หรือวิธีคิดแบบรู้เท่าทันธรรมดา

หมายถึง  การรู้เท่าทันความเป็นไปของสิ่งทั้งหลาย เช่น มีการเกิด เปลี่ยนแลงและดับสลายไปในที่สุด เป็นต้น  เป็นการรู้เท่าทันว่าสิ่งทั้งหลายที่เป็นธรรมชาติย่อมเกิดจากเหตุปัจจัย  และขึ้นต่อเหตุปัจจัยเช่นเดียวกัน  วิธีคิดแบบนี้แบ่งได้เป็น ๒ ขั้นตอน คือ

ขั้นที่หนึ่ง คือ รู้เท่าทันและยอมรับความจริง

ขั้นที่สอง คือ การคิดแก้ไขและทำการไปตามเหตุปัจจัย  เป็นการปฏิบัติด้วยปัญญา  กล่าวคือ เมื่อรู้และเข้าใจเหตุปัจจัยแล้วก็จัดการที่ด้วยเหตุปัจจัยนั้น



๔. วิธีคิดแบบอริยสัจ หรือ คิดแบบแก้ปัญหา

เป็นวิธีคิดที่สามารถขยายให้ครอบคลุมวิธีคิดแบบอื่น ๆ ได้ทั้งหมด มีวิธีคิด ๒ วิธี คือ






๔.๑ วิธีคิดตามเหตุผล

เป็นการสืบสาวจากผลไปหาเหตุแล้วแก้ไขที่เหตุนั้น  ตามปกติจะจัดเป็น ๒ คู่ ดังตัวอย่างต่อไปนี้


คู่ที่ ๑ ทุกข์เป็นผล

เป็นตัวปัญหาเป็นสถานการณ์ที่ไม่ต้องการสมุทัยเป็นเหตุ เป็นที่มาของปัญหา เป็นจุดที่ต้องการแก้ไข


คู่ที่ ๒ นิโรธเป็นผล 

เป็นภาวะสิ้นปัญหาเป็นจุดหมายที่ต้องการจะเข้าถึงมรรค  เป็นเหตุเป็นข้อปฏิบัติที่ต้องการกระทำในการแก้ไขสาเหตุ เพื่อบรรลุจุดหมาย คือ ภาวะสิ้นปัญหา อันได้แก่ ความดับทุกข์



๔.๒ วิธีคิดที่ตรงจุดตรงเรื่อง

เป็นการคิดอย่างตรงไปตรงมา  นำเอาสิ่งหรือเรื่องที่ต้องเกี่ยวข้องมาใช้ในการแก้ปัญหา ไม่นำสิ่งหรือเรื่องที่ใช้ปฏิบัติไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้อง


กล่าวโดยสรุป  หลักการหรือสาระสำคัญของวิธีคิดแบบอริยสัจก็คือ  การเริ่มต้นจากปัญหา หรือความทุกข์ที่ประสบ โดยกำหนดและทำความเข้าใจว่าปัญหาคือความทุกข์นั้น  ให้ชัดเจนแล้วสืบค้นหาสาเหตุเพื่อเตรียมแก้ไข  ในเวลาเดียวกันกำหนดเป้าหมายของตนให้แน่ชัดว่าคืออะไร  จะเป็นไปได้หรือไม่และเป็นไปได้อย่างไร  แล้วคิดวางวิธีปฏิบัติที่จะกำจัดสาเหตุของปัญหา ให้สอดคล้องกับการที่จะบรรลุจุดหมายที่กำหนดไว้นั้น  ในการคิดตามวิธีนี้จะต้องตระหนักถึงกิจหรือหน้าที่  อันพึงปฏิบัติต่ออริยสัจแต่ละข้ออย่างถูกต้องด้วย



๕. วิธีคิดแบบอรรถธรรมสัมพันธ์

เป็นวิธีคิดตามหลักการและความมุ่งหมาย  คือพิจารณาให้เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างธรรม (หลักการ) กับอรรถ (ความมุ่งหมาย)   คำว่าหลักการในที่นี้ หมายถึง หลักความจริง หลักความดีงาม หลักการปฏิบัติ หรือหลักที่จะนำไปใช้ปฏิบัติ  รวมทั้งหลักคำสอนที่จะให้ประพฤติปฏิบัติและการทำการได้ถูกต้อง  ส่วนความมุ่งหมายก็หมายถึงจุดหมายหรือประโยชน์ที่ต้องการหรือสาระที่พึงประสงค์  ความเข้าใจถูกต้องในเรื่องหลักการและความมุ่งหมายจะนำไปสู่การปฏิบัติที่ถูกต้อง  การปฏิบัติที่ถูกต้องนี้สำคัญมากอาจกล่าวได้ว่า  เป็นตัวตัดสินว่าการกระทำนั้น ๆ จะสำเร็จผลบรรลุจุดมุ่งหมายได้หรือไม่


๖. วิธีคิดแบบคุณโทษและทางออก

วิธีคิดแบบนี้เป็นการคิดที่ใช้หลักว่าจะต้องพิจารณาปัญหาให้ครบทุกด้าน ได้แก่ ด้านดี (อัสสาทะ) ด้านเสีย (อทีนนวะ)   ต่อจากนั้นจึงหาทางออก (นิสสรหะ) หรือทางแก้ปัญหา

พระธรรมปิฎกกล่าวว่า การคิดแบบนี้มีลักษณะที่พึงย้ำ ๒ ประการ คือ






๖.๑ การที่จะใช้ชื่อว่ามองเห็นตามเป็นจริงนั้น  จะต้องมองเห็นทั้งด้านดีและด้านเสียหรือทั้งคุณและโทษของสิ่งนั้น ๆ ไม่ใช่มองเพียงด้านหนึ่งด้านใดด้านเดียว


๖.๒ เมื่อจะแก้ปัญหาหรือลงมือปฏิบัติ  จะต้องมองเห็นจุดหมายหรือทางออก  นอกเหนือจากการที่รู้คุณและโทษของสิ่งนั้น ๆ   การคิดหาทางออกด้วยวิธีการดังกล่าวต้องพิจารณาไปพร้อม ๆ กับการพิจารณาผลดีผลเสียจะทำให้หาทางออกได้ดีที่สุดและปฏิบัติได้ถูกต้องที่สุด


๗. วิธีคิดแบบคุณค่าแท้-คุณค่าเทียม

วิธีคิดแบบนี้ใช้กันมากในชีวิตประจำวันเพราะเกี่ยวข้องกับการบริโภคใช้สอย ปัจจัย ๔   คำว่าคุณค่าแท้  หมายถึงประโยชน์ของสิ่งทั้งหลายในแง่ที่สนองความต้องการของชีวิตโดยตรง  หรือที่มนุษย์นำมาใช้แก้ปัญหาของตนเพื่อความดีงาม ความดำรงอยู่ด้วยดีของชีวิตหรือเพื่อประโยชน์สุขทั้งของตนและของผู้อื่น   คุณค่านี้อาศัยปัญญาเป็นเครื่องดีค่าหรือวัดราคา  จะเรียกว่าคุณค่าที่สนองปัญญาก็ได้   เช่น   คุณค่าของอาหารอยู่ที่ประโยชน์ของมันสำหรับหล่อเลี้ยงร่างกายให้ดำรงชีวิตอยู่ได้   มีสุขภาพดี   เป็นอยู่อย่างผาสุก   มีกำลังเกื้อกูลแก่การบำเพ็ญกิจหน้าที่ เป็นต้น   ส่วนคุณค่าเทียมนั้น หมายถึง ประโยชน์ในแง่การปรนเปรอ การเสพเสวยเวทนา อาศัยตัณหาเป็นเครื่องวัดคุณค่าหรือวัดราคา  จะเรียกว่าคุณค่าตอบสนองตัณหาก็ได้  เช่น  อาหารที่มีคุณค่าที่ความเอร็ดอร่อย เสริมความสนุกสนานเป็นเครื่องแสดงฐานะความหรูหรา เป็นต้น


วิธีคิดแบบคุณค่าแท้  นอกจากจะเป็นประโยชน์แก่ชีวิตอย่างแท้จริงแล้ว   ยังเกื้อกูลแก่ความเจริญงอกงามของกุศลธรรม เช่น  ความมีสติ เป็นต้น   ต่างจากคุณค่าเทียมที่พอกเสริมด้วยตัณหา ซึ่งไม่ใคร่เกื้อกูลแก่ชีวิต   ทำให้อกุศลธรรม เช่น ความโลภ ความมัวเมา ความริษยา มานะ ทิฎฐิ เจริญขึ้นอย่างไม่มีขอบเขต





๘. วิธีคิดแบบอุบายปลุกเร้าคุณธรรม  

เป็นวิธีคิดที่ส่งเสริมชักนำไปในทางที่ดีงามและเป็นประโยชน์   เป็นการขัดเกลาและบรรเทาปัญหา พระธรรมปิฎกอธิบายว่า  ในเหตุการณ์หรือประสบการณ์เดียวกัน คนหนึ่งอาจคิดปรุงแต่งไปในทางดีงาม เป็นประโยชน์   อีกคนหนึ่งอาจปรุงแต่งไปในทางไม่ดี ไม่งามเป็นโทษ   ทั้งนี้ เนื่องมาจากการฝึกฝนอบรมและประสบการณ์ที่ได้สะสมมา   นอกจากนี้ แม้แต่บุคคลเดียวกันมองของอย่างเดียวกันหรือมีประสบการณ์เดียวกัน   แต่ต่างขณะต่างเวลาก็อาจคิดแตกต่างออกไปครั้งละอย่างได้  คราวหนึ่งร้าย คราวหนึ่งดี   ทั้งนี้ โดยเหตุผลที่กล่าวมาแล้ว   วิธีคิดแบบอุบายปลุกเร้าคุณธรรมหรือโยนิโสมนสิการแบบเร้ากุศลในที่นี้   จึงมีความสำคัญในแง่ที่ทำให้เกิดความคิดและการกระทำที่ดีงามเป็นประโยชน์ในขณะนั้น ๆ   และในแง่ที่ช่วยแก้ไขนิสัยเคยชินร้าย ๆ ของจิตที่ได้สะสมไว้แต่เดิม  พร้อมกับสร้างนิสัยความเคยชินใหม่ที่ดีงามให้แก่จิตไปในเวลาเดียวกัน

ในกรณีที่ความคิดอกุศลเกิดขึ้นแล้ว   พระธรรมปิฎกได้ยกตัวอย่างในวิตักกสัณฐานสูตรว่า พระพุทธเจ้าทรงแนะนำหลักทั่วไปในการแก้ความคิดอกุศลไว้เป็น ๕ ขั้น  คือ



๘.๑) คิดนึกใส่ใจเรื่องอื่นที่ดีงามเป็นกุศล

เช่น   นึกถึงเรื่องที่ทำให้เกิดเมตตา แทนเรื่องที่ทำให้เกิดโทสะ เป็นต้น ถ้ายังไม่หาย


๘.๒) พึงพิจารณาโทษของความคิดที่เป็นอกุศลเหล่านั้นว่า

ไม่ดีไม่งาม ก่อผลร้ายนำความทุกข์อย่างไรมาให้ ถ้ายังไม่หาย


๘.๓) พึงใช้วิธีต่อไปคือ ไม่คิดถึง ไม่ใส่ใจในความชั่วร้ายที่เป็นอกุศลนั้นเลย ถ้ายังไม่หาย


๘.๔) พึงพิจารณาสังขารสัณฐานของความคิดเหล่านั้น ว่าความคิดนั้นเป็นอย่างไร เกิดจากเหตุปัจจัยอะไร ถ้ายังไม่หาย


๘.๕) พึงขบฟัน เอาลิ้นดุนเพดาน อธิษฐานจิตคือตั้งใจแน่วแน่เด็ดเดี่ยว ข่มใจระงับความคิดนั้นเสีย




๙. วิธีคิดแบบเป็นอยู่ในขณะปัจจุบัน

วิธีคิดแบบนี้บางทีเรียกว่า วิธีคิดแบบมีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์และมีข้อที่ต้องทำความเข้าใจเป็นพิเศษคือ การที่มีผู้เข้าใจผิดเกี่ยวกับความหมายของการเป็นอยู่ในปัจจุบัน หรือมีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์

ความคิดที่เป็นอยู่ในปัจจุบันหมายถึง การคิดในแนวทางของความรู้หรือคิดด้วยอำนาจปัญญา   การคิดแบบนี้ถือว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นอยู่ในขณะนี้  หรือเป็นเรื่องที่ล่วงไปแล้ว  หรือเป็นเรื่องของกาลภายหน้า ก็จัดเข้าไปเป็นการปัจจุบันทั้งสิ้น

ความคิดถึงอดีตและอนาคตตามแนวทางของปัญญาที่เป็นเรื่องของกิจในปัจจุบัน  จะช่วยให้เกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติ  ช่วยให้การปฏิบัติในปัจจุบันถูกต้องได้ผลดียิ่งขึ้น  และสนับสนุนให้มีการตระเตรียมวางแผนล่วงหน้านับว่าเป็นวิธีคิดที่มีประโยชน์มาก

๑๐. วิธีคิดแบบวิภัชชวาท 

มาจาก วิภัชชวาท วิภัชช  แปลว่า  แยกแยะ จำแนกหรือแจกแจง  ใกล้เคียงคำที่ใช้ในปัจจุบันว่าวิเคราะห์วาท แปลว่า การกล่าว การพูด การแสดงคำสอน วิภัชชวาท จึงแปลว่า การพูด จำแนก พูดแยกแยะหรือแสดงคำสอนแบบวิเคราะห์   ลักษณะสำคัญของการคิดและการพูดแบบนี้คือ การมองและแสดงความจริงโดยแยกแยะออกให้เห็นแต่ละแง่แต่ละด้านครบทุกแง่ทุกด้าน วิธีคิดแบบนี้สามารถจำแนกออกเป็นลักษณะต่าง ๆ ได้ดังนี้





๑๐.๑ จำแนกด้วยแง่ความจริง

แบ่งซอยออกเป็น ๒ อย่าง คือจำแนกตามแง่ด้านต่าง ๆ ตามที่เป็นจริงของสิ่งนั้น ๆ   โดยมองทีละด้านอย่างหนึ่ง และจำแนกโดยมองหรือแสดงความจริงของสิ่งนั้น ๆ ให้ครบทุกแง่ทุกด้านอีกอย่างหนึ่ง

๑๐.๒ จำแนกส่วนประกอบ

คือ  วิเคราะห์แยกแยะองค์ประกอบของสิ่งนั้น ๆ  เพื่อให้รู้เท่าทันภาวะของสิ่งนั้น ๆ   เป็นการคิดในแง่เดียวกันกับการคิดวิธีที่สอง (วิธีคิดแบบแยกแยะส่วนประกอบ) ที่กล่าวมาแล้วในข้างต้น

๑๐.๓ จำแนกโดยลำดับขณะ  

คือ  แยกแยะวิเคราะห์ปรากฏการณ์ตามลำดับความสืบทอดแห่งเหตุปัจจัย  ซอยออกไปเป็นแต่ละขณะ ๆ ให้มองเห็นตัวเหตุปัจจัยที่แท้จริง  ตัวอย่างเช่น เมื่อโจรขึ้นบ้านและฆ่าคนตายเพราะความโลภ   คำพูดนี้ใช้ได้เพียงเป็นสำนวนพูดให้เข้าใจกันง่าย ๆ  แต่เมื่อวิเคราะห์ทางด้านกระบวนธรรมที่เป็นไปภายในจิตอย่างแท้จริง  จะพบว่าความโลภเป็นเหตุของการฆ่าไม่ได้ โทสะต่างหากที่เป็นเหตุของการฆ่า ดังนี้เป็นต้น

๑๐.๔ จำแนกโดยความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย

คือ  สืบสาวว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นจะเกิดขึ้นหรือดับลงก็ด้วยเหตุปัจจัย  เป็นวิธีคิดที่ตรงกับวิธีที่ ๑ ที่กล่าวแล้วข้างต้น   ความคิดแบบจำแนกโดยสัมพันธ์ของเหตุปัจจัยช่วยให้มองเห็นความจริงนั้น   และตามแนวคิดนี้พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงพระธรรมอย่างที่เรียกว่า เป็นกลาง คือไม่กล่าวว่า สิ่งนี้มี หรือสิ่งนี้ไม่มี   แต่ทรงกล่าวว่าเพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้ไม่มี เพราะสิ่งนี้ไม่มีสิ่งนี้จึงไม่มี  การแสดงความจริงอย่างนี้ นอกจากจะเรียกว่า อิทัปัจจยตาหรือ ปฏิจจสมุปบาทแล้ว ยังเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มัชเฌนธรรมเทศนา หรือเรียกสั้น ๆ ว่า  วิธีคิดแบบมัชเฌนธรรม




๑๐.๕ จำแนกโดยเงื่อนไข

คือ  มองความจริงโดยพิจารณาเงื่อนไขประกอบด้วย เช่น  ถ้ามีผู้กล่าวว่า บุคคลนี้ควรคบหรือไม่  หรือถิ่นสถานนี้ควรเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่  ถ้าพระภิกษุเป็นผู้ตอบว่า ถ้าคบแล้วหรือเข้าไปเกี่ยวข้องแล้วอกุศลธรรมเจริญ  กุศลธรรมเสื่อมก็ไม่ควรคบ ไม่ควรเกี่ยวข้อง  แต่ถ้าอกุศลเสื่อม กุศลธรรมเจริญจึงควรคบควรเกี่ยวข้อง

ถ้าถามในแง่การศึกษาว่า  ควรปล่อยให้เด็กพบเห็นสิ่งต่าง ๆ ในสังคมอย่างอิสระเสรีหรือไม่  ถ้าจะตอบก็ต้องวินิจฉัยโดยพิจารณาเงื่อนไขต่าง ๆ  เช่น   เด็กมีความพร้อมหรือไม่  ประสบการณ์เดิมเป็นอย่างไร เด็กรู้จักใช้โยนิโสมนสิการโดยปกติหรือไม่  มีบุคคลหรืออุปกรณ์คอยช่วยเหลือหรือไม่  สิ่งหรือเรื่องที่เด็กจะได้พบเห็นในประสบการณ์นั้น  มีผลกระทบรุนแรงเพียงใด ดังนี้เป็นต้น


๑๐.๖ จำแนกโดยวิภัชชวาท

คือ ใช้วิภัชชวาทในรูปการตอบปัญหา  ในบรรดาวิธีตอบปัญหา ๔ วิธี ซึ่งมีชื่อเฉพาะว่า วิภัชชพยากรณ์ วิธีตอบปัญหาทั้ง ๔ วิธีนั้น คือ



ก. เอกังสพยากรณ์  การตอบแง่เดียว

ข. วิภัชชพยากรณ์  การแยกแยะตอบ

ค. ปฏิปุจฉาพยากรณ์  การตอบโดยย้อนถาม

ง. ฐปนะ การยั้งหรือหยุด  พับปัญหาเสีย ไม่ตอบ


พระธรรมปิฎกอธิบายว่า วิธีตอบ ๔ วิธีนี้  แบ่งตามลักษณะของปัญหา หมายความว่า  ปัญหาแบ่งออกเป็น ๔ ประเภท ดังตัวอย่างต่อไปนี้ :








( ๑ ) เอกังสพยากรณียปัญหา

ปัญหาที่ควรตอบเด็ดขาด  เช่น  ถามว่าสิ่งที่ไม่เที่ยง ได้แก่ จักษุใช่ไหม  พึงตอบได้ทีเดียวแน่นอนลงไปว่า ใช่

( ๒ ) วิภัชชพยากรณียปัญหา  

ปัญหาที่ควรแยกแยะหรือจำแนกตอบ  เช่น ถามว่าสิ่งที่ได้มาไม่เที่ยงได้แก่  จักษุใช่ไหม พึงแยกแยะตอบว่า ไม่เฉพาะแต่จักษุเท่านั้น แม้โสตะ ฆานะ เป็นต้น ก็ไม่เที่ยง

( ๓ ) ปฏิปุจฉาพยากรณียปัญหา

ปัญหาที่ควรตอบโดยย้อนถามเช่น จักษุฉันใดโสตะก็ฉันนั้น โสตะฉันใดจักษุก็ฉันนั้น ใช่ไหม พึงย้อนถามว่า มุ่งความหมายในแง่ใด ถ้าถามโดยหมายถึงแง่ใช้ดูหรือเห็นก็ไม่ใช่ แต่ถ้ามุ่งความหมายในแง่ที่ว่าไม่เที่ยง ก็ใช่

( ๔ ) ฐปนียปัญหา

ปัญหาที่พึงยับยั้งหรือพับเสียไม่ควรตอบ เช่นถามว่า ชีวะกับสรีระคือสิ่งเดียวกันใช่ไหม พึงยับยั้งเสีย ไม่ต้องตอบ





สรุปวิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการ

พระ ธรรมปิฎกกล่าวสรุปว่า  วิธีคิดที่เป็นแบบโยนิโสมนสิการทั้ง ๑๐ วิธีนี้  มีขั้นตอนการทำงานที่แบ่งออกได้เป็นสองช่วง  คือช่วงรับรู้อารมณ์ หรือประสบการณ์จากภายนอก  และช่วงคิดค้น พิจารณาอารมณ์หรือเรื่องราวที่เก็บเข้ามาภายในแล้ว   วิธีคิดทั้ง ๑๐ วิธีนี้ ต่างก็อาศัยกันและกัน  รับกันและสัมพันธ์กัน  ดังนั้นวิธีการศึกษา เผชิญสถานการณ์และแก้ปัญหาชีวิตจึงต้องบูรณาการความคิดเหล่านี้  รู้จักเลือกรูปแบบวิธีคิดมาผสมกลมกลืนกัน  เพื่อนำไปสู่การสร้างแนวปฏิบัติอย่างถูกต้องตรงกับความจริงในทางสายกลาง
อนึ่ง เมื่อพูดเชิงวิชาการในแง่การทำหน้าที่ พระธรรมปิฏกสรุปว่า  วิธีโยนิโสมนสิการทั้งหมดสามารถสรุปได้เป็น ๒ ประเภทใหญ่ คือ


( ๑ ) โยนิโสมนสิการแบบปลุกปัญญา

มุ่งให้เกิดความรู้แจ้งตามสภาวะ  เน้นที่การขจัดอวิชชา เป็นฝ่ายวิปัสสนา  มีลักษณะเป็นการส่องสว่าง ทำลายความมืด หรือชำระล้างสิ่งสกปรก ให้ผลไม่จำกัดกาล หรือเด็ดขาด นำไปสู่โลกุตรสัมมาทิฎฐิ


( ๒ ) โยนิโสมนสิการแบบสร้างเสริมคุณภาพจิต

มุ่งปลุกเร้ากุศลธรรม  เน้นที่การสกัดหรือข่มตัณหา เป็นฝ่ายสมถะ  มีลักษณะเป็นการเสริมสร้างพลังหรือปริมาณ  ฝ่ายดีขี้นมากดข่มทับหรือบังฝ่ายชั่วไว้  ให้ผลขึ้นแก่การชั่วคราวหรือเป็นเครื่องตระเตรียมหนุนเสริมความพร้อมและสร้างนิสัยที่นำไปสู่โลกียสัมมาทิฎฐิ







วิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการ  เป็นวิธีคิดที่มีประโยชน์มาก  เพราะสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ทุกเวลา  และจะเป็นเรื่องที่เร้าให้เกิดกุศลธรรม  เช่น  ความรู้สึกเมตตากรุณาและความเสียสละเป็นต้น  อันจะเป็นผลดีแก่ความเจริญงอกงามของตน  ผู้ใดก็ตามเมื่อเข้าใจหลักการนี้แล้วอาจใช้โยนิโสมนสิการแก้ได้  แม้แต่ทัศนคติและจิตนิสัยไม่ดีที่สร้างมาเป็นเวลานานจนชิน



สำหรับผู้ที่คิดจะเป็นแพทย์แผนไทย  โยนิโสมนสิการเป็นวิธีคิดที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางพุทธศาสนา  เป็นหลักคิดของคนธรรมดาทั่ว ๆ ไป สามารถฝึกได้  ดังนั้น แพทย์แผนไทยจึงเป็นหมอธรรมดา หมอชาวบ้าน ไม่ใช่ผู้วิเศษ มีอิทธิฤทธิ์ อภินิหาร นั่งทางใน เพ่งกระสินธ์ หรือใช้วิธีการเครื่องมือพิสดาร ในการตรวจและการวินิจฉัยโรค  แต่อาศัยข้อมูลจากการซักประวัติ พิจารณาผู้ป่วย อาการผู้ป่วย และข้อมูลอื่น ๆ ที่จำเป็น   แล้วจึงนำมาประมวล วิเคราะห์ เพื่อให้รู้ว่าป่วยเป็นโรคอะไร มีสาเหตุมาจากอะไร  มีวิธีการรักษาอย่างไร จะใช้ยาอะไรรักษา ทั้งหมดนี้เป็นไปในแนวทางของโยนิโสมนสิการ
           


     
                                                                   




เอกสารที่เกี่ยวข้อง
บทความของ ศาสตราจารย์ ดร. ธำรง บัวศรี
พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต). พุทธธรรม เล่มที่ ๔ ฉบับปรับปรุงและขยายความ. โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ๒๕๔๒.


ขอบคุณภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต









ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น